ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2550 วินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 (ฆ่าผู้อื่น) ประกอบมาตรา 80 (พยายาม) ให้จำคุก
ตามกฎหมายนั้น ฝ่ายที่แพ้คดีต้องอุทธรณ์ภายใน 1 เดือน นับแต่วันอ่านคำพิพากษา
วันที่ 20 ธันวาคม 2550คุณทนายจำเลยยื่นคำร้องอ้างว่า เจ้าหน้าที่ศาลยังพิมพ์คำพิพากษา (ของศาลชั้นต้น) ไม่เสร็จ จึงขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไปมีกำหนอ 30 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาไปจนถึงวันที่ 27 มกราคม 2551
ก่อนจะถึงวันที่ศาลกำหนด เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2551 คุณทนายยื่นคำร้องเข้ามาอีก ขอขยายระยะเวลาออกไปอีก 15 วัน อ้างว่าผู้พิพากษาศาลชั้นต้นยังมิได้ลงลายมือชื่อในคำพิพากษาที่ตัดสินมา เนื่องจากผู้พิพากษาลงราชการจึงยังไม่อาจคัดคำพิพากษาได้
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาไปจนถึงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2551
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2551 หลังเลยกำหนดที่ศาลอนุญาตให้ คุณทนายความมาอีกแล้ว มายื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำอุทธรณ์ออกไปอีก 15 วัน โดยอ้างว่าคุณทนายได้ไปสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งอยู่ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งทำให้เกิดอาการเครียด ส่งผลให้โรคความดันโลหิตสูงกำเริบ และด้วยความพลั้งเผลอจึงไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ในกำหนดที่ศาลกำหนดไว้
ศาลชั้นต้นสั่งว่า มีเหตุสุดวิสัยและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม อนุญาตให้คุณทนายยื่นอุทธรณ์ได้ภายในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2551 ครั้นถึงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2551 คุณทนายจำเลยจึงยื่นอุทธรณ์เข้ามา
ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์มา แล้วส่งให้ศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้ออ้างในการขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ของคุณทนายจำเลยครั้งหลังที่ว่า โรคความดันโลหิตสูงกำเริบ และพลั้งเผลอยื่นอุทธรณ์ไม่ทันกำหนดนั้น ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยสักหน่อย
ศาลอุทธรณ์สั่งยกคำสั่งาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้คุณทนาย จนถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2551 และยกอุทธรณ์ของจำเลย
นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คือให้จำคุกจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
หมายความว่า ยกเลิกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ให้คุณทนายจำเลยและยกเลิกอุทธรณ์ของจำเลยเสียด้วยเท่ากับว่าคุณจำเลยไม่ได้อุทธรณ์นั่นเอง คุณทนายจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้คุณทนายยื่นขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์มาเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2551 หลังจากที่ครบกำหนดระยะเวลาขยายอุทธรณ์แล้ว จำเลยจะยื่นคำร้องหลังครบกำหนดระยะเวลาอย่างนี้ได้ต้องเป็นกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยเท่านั้น
กรณีที่คุณทนายอ้างว่า ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงกำเริบเมื่อไปหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาและด้วยพลั้งเผลอยื่นอุทธรณ์ไม่ทันกำหนดนั้น ปรากฏว่า คุณทนายยังไปรับยาที่โรงพยาบาลได้ อาการป่วยที่กล่าวอ้างจึงไม่ถึงขนาดที่จะทำให้ไม่สามารถทำคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ไปยื่นได้ก่อนสิ้นระยะเวลาได้ ทั้งยังรับในคำร้องนั้นว่า เป็นความพลั้งเผลอด้วยอันเป็นความบกพร่องของคุณทนาย ข้ออ้างดังกล่าวจึงไม่ใช่เหตุสุดวิสัยตามบทบัญญัติกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา พิพากษายืน เป็นอันว่า คุณจำเลยต้องเดินคอตกเข้าคุกไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 445/2553)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น