กรณีที่ดินตาบอดและทางจำเป็น
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อปี พ.ศ. 2517 ตอนที่ซื้อนั้น โจทก์เห็นอยู่แล้วละว่าที่ดินที่ซื้อเป็นที่ดินตาบอด คือไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ แต่ก็มั่นใจว่า สักระยะที่ดินย่านนี้ต้องเจริญขึ้นมา ซึ่งก็เป็นไปตามจริง เพราะตอนนี้เริ่มมีถนนเข้ามาแล้ว เพียงแต่ไม่ผ่านที่ดินของโจทก์ เท่านั้นเอง
รอบๆ ที่ดินของโจทก์ นั้น เขาทำนากันหมดแล้ว โจทก์ต้องการที่จะให้ที่ดินของตนมีราคา คือต้องการให้มีถนนผ่านที่ดินของตน ก็ต้องฟ้องจำเลย ซึ่งที่ทำนาอยู่ข้างๆ ขอให้ศาลบังคับเปิดทางจำเป็นกว้าง 4 เมตรา ความยาวตลอดแนว นัยว่าเพื่อรถยนต์เข้าออกไปสะดวก เพื่อจำได้ออกสู่ทางสาธารณะได้
แต่ที่ดินของจำเลย มีอยู่เพียง 3 งานเศษ ไม่ถึงไร่ ถ้าโจทก์มาขอเป็นทางออกกว้าง 4 เมตร นั้นแล้วจะเหลืออะไรทำกิน จำเลยก็ต้องต่อสู้คดี ศาลชั้นต้นยกฟ้องของโจทก์
แต่ไม่นานโจทก์อุทธรณ์คดี ยืนยันขอทางจำเป็นตามที่ฟ้อง เที่ยวนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ทางจำเป็นตามที่โจทก์ขอ
จำเลยฎีกาว่า หาควรไม่ เพราะโจทก์สามารถใช้ทางผ่านที่ดินแปลงอื่นเป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้ไม่จำเป็นต้องผ่านที่ดินของตน ศาลฎีกาบอกว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1349 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ไซร้ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้”
เห็นว่า การของทางผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปทางสาธารณะนั้นบทกฎหมายมิได้บังคับว่า เจ้าของที่ดินที่ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจะต้องขอผ่านที่ดินแปลงซึ่งอยู่ใกล้ทางสาธารณะมากที่สุด เจ้าของที่ดินซึ่งถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจึงมีสิทธิของผ่านที่ดินแปลงใดก็ได้ เพียงแต่การที่จะผ่านที่ดินที่ล้อมนั้น มาตรา 1349 วรรคสาม บัญญัติว่า ที่และวิธีทำทางผ่านนั้นจะต้องเลือกให้พอควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่าน กับทั้งในคำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นไปได้ถ้าจำเป็น ผู้มีสิทธิจะผ่านจะสร้างถนนเป็นทางผ่านก็ได้
เมื่อที่ดินของโจทก์ ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะ โจทก์ จึงมีสิทธิขอเปิดทางในที่ดินของจำเลย เป็นทางจำเป็น มีปัญหาต้องวินิจฉัยอีกว่า ทางที่โจทก์ ขออกสู่ทางสาธารณะจำเป็นสำหรับรถยนต์หรือไม่ เห็นว่า ทางจำเป็น เกิดขึ้นโดยผลของกฎหมาย ผู้มีสิทธิใช้ทางจำเป็นจึงต้องใช้โดยมีขอบเขตด้วยความระมัดระวัง โดยคำนึงถึงผลเสียหายอันจะเกิดขึ้นแก่ผู้เป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกบังคับใช้ทางจำเป็นด้วย
โจทก์ซื้อที่ดินมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 ขณะนั้นยังไม่มีทางสาธารณะ ย่อมรู้อยู่แก่ใจแล้วแต่ในขณะนั้นว่า ที่ดินที่ซื้อไม่อาจใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกได้ คงใช้ทางได้เฉพาะการเดินทางเข้าออกเท่านั้นจึงไม่อาจอ้างว่าได้ทางจำเป็นเพื่อการใช้รถยนต์ ประกอบกับที่ดินของจำเลย มีเนื้อที่เพียง 3 งานเศษ หากเปิดทางจำเป็นกว้างถึง 4 เมตร ตามที่โจทก์ ขอย่อมเสียหายแก่จำเลย เกินสมควร
ศาลฎีกาพิพากษาแก้ตำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นให้จำเลย เปิดทางกว้าง 1 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินให้โจทก์ออกสู่ทางสาธารณะ สรุป โจทก์ได้ทางเดินเข้าออกตามที่จำเป็นส่วนจำเลยก็โล่งไปไม่น้อยที่ไม่ต้องเสียเนื้อที่มาก
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 ที่ และ วิธีทำทางผ่านนั้น ต้องเลือกให้พอควรแก่ความจำเป็น ของผู้มีสิทธิจะผ่าน กับทั้งให้คำนึงถึง ที่ดินที่ล้อมอยู่ ให้เสียหายแต่น้อยที่สุด ที่จะเป็นได้ ถ้าจำเป็น ผู้มีสิทธิจะผ่าน จะสร้างถนน เป็นทางผ่าน ก็ได้
ผู้มีสิทธิจะผ่าน ต้องใช้ค่าทดแทน ให้แก่เจ้าของที่ดิน ที่ล้อมอยู่เพื่อความเสียหาย อันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้น ค่าทดแทนนั้น นอกจากค่าเสียหาย เพราะสร้างถนน โดยจะกำหนดเป็นเงินรายปี ก็ได้
ชาวชนบทต้องยอมขายที่ดินถูกๆ เพราะใม่เข้าใจเรื่องสิทธิ
ตอบลบ